พระคัมภีร์ ปฐมจินดา
คัมภีร์ปฐมจินดา
เป็นโรคที่เกี่ยวกับสตรี มารดาและทารก หญิงมีครรภ์ก่อนคลอด ดังนี้
ถวายนมัสการแล้ว ซึ่งพระศรีสุคตทศพลญาณเจ้า เป็นที่พึ่งของโรค
พระคัมภีร์แพทย์อันวิเศษ ชือ ปฐมจินดา นี้ เป็นหลักเป็นประธานแห่งพระคัมภีร์ ฉันทศาสตร์ ทั้งปวง อันพระอาจารย์ชีวกโกมภัจจ์แพทย์ ได้แต่งไว้ในกาลก่อน โดยสังเขป เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ด้วยประการดังนี้
พรหมปุโรหิต( กำเนิดมนุษย์) ต้นเหตุที่มนุษย์เกิด เมื่อจะตั้งแผ่นดินใหม่มีเหตุการณ์ผ่านมาเป็นอันมาก แล้วเกิดฝนตกห่าใหญ่ลงมาถึง ๗ วัน ๗ คืน น้ำท่วมไปขันพรหมปุโรหิตๆ จึงเล็งลงมาดู จึงเห็นดอกอุบล ๕ ดอก ผุดขึ้นมาเหนือน้ำงามหาที่จะอุปมามิได้
ท้าวมหาพรหม จึงบอกแก่พรหมทั้งหลายว่า แผ่นดินใหม่นี้ จะบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัส ๕ พระองค์ เพราะได้เห็นดอกอุบลนั้น ๕ ดอกคือ
๑. พระพุทธกกุสันโธ
๒. พระพุทธโกนาคม
๓. พระพุทธกัสสป
๔. พระพุทธสมณโคดม
๕. พระศรีอริยเมตไตรย์
ครั้นและบังเกิด บุพนิมิต ขึ้นแล้ว จึงน้ำค้างเปียกจากฝนซึ่งได้ตกลงมา ๗ วัน ๗ คืน แล้วก็เป็นระคนปนกันสนับขันเข้า ดุจดังสวะอันลอยอยู่เหนือน้ำ โดยหนาสองแสนสีหมื่นโยชน์ อันนี้มีแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์จักรวาลทีปนี
๑. สัตว์ที่มาปฎิสนธิในชมพูทวีป มี ๔ สถาน
๑.๑ สัตว์ทีมาปฎิสนธิในครรภ์เป็น ชลามพุชะ( ตัว)
๑.๒ สัตว์ที่มาเกิดเป็นฟองฟักฟองไข่ นั้น คือ อํณฑะชะ
๑.๓ สัตว์ที่ปฎิสนธิด้วยเปือกตมนั้นชือ สังเสทชะ( หนอน)
๑.๔ อุปปาติกะ สัตว์ปฎิสนธิเกิดเป็นอุปปาติกะ ไม่มีสิ่งใดๆ ก็เกิดขึ้น
๒. มนุษย์ทั้งหลายถือปฎสนธิแล้ว ก็คลอดจากครรภ์มารดา ถ้าเป็นสตรี จะมีประเภทผิดจากบุรุษ ๒ ประการคือ
๒.๑ ต่อมเลือด( มดลูก)
๒.๒ น้ำนมสำหรับเลี้ยงบุตร
ในคัมภีร์ปฐมจินดา กล่าวถึง พระดาบสองค์หนึ่ง ชื่อว่า ฤทธิยาธรดาบส ได้ซึ่งญานอันเป็นโลกีย์ หยั่งรู้ลักษณะหญิงและน้ำใจสตรี ทั้งดีและชั่วต่างๆ และท่านดาบสพระองค์นี้ ได้เป็นอาจารย์ของ ชีวกโกมารภัจจ์ ชีวโกมารภัจจ์ จึงนมัสการถามถึงโรค แห่งกุมารว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันว่ากุมารและกุมารีทั้งหลาย ซึ่งเกิดมาในโลกนี้ ย่อมบังเกิดโรคต่างๆ ไม่เหมือนกัน ในพระคัมภีร์ปฐมจินดา กำเนิดซาง นั้นว่า ถ้ากุมารและกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์ในวัน ๑,๓,๔,๗ นั้นว่า ร้ายนักเลี้ยงยาก และโรคนั้นก็มาก ฉันใดแล ผู้เป็นเจ้าโรคนั้น จึงเบาบางกลับเป็นดีไปเล่า คลอดวันที่ดีกลับร้าย รักษายากรักษาไม่รอด รักษาง่าย ดังนี้เป็นประการดังฤา พระคัมภีร์ปฐมจินดา กำเนิดซางนั้นร้ายนัก เลี้ยงก็ยาก กุมาร กุมารี เกิดมา ใน ๑,๓,๔,๗ จะมิตายเสียสิ้นแลหรือ เกิดมา ในวัน ๒,๕,๖ นั้นเลี้ยง่าย ก็ตกซึ่งว่ากุมาร กุมารี เกิดมาในวันเหล่านี้ จะไม่รู้ตายแล้วหรือพระผู้เป็นเจ้า
ฝ่ายพระฤาษี ฤทธิยาธรดาบส จึงวิสัชนาว่า สัตว์เกิดมาในภพสงสารนี้ ซึ่งเกิดมาในวันที่ ดี ไม่มี สิ่งอันใดขัดขวาง พ้นแผนซางที่ร้ายแล้ว แต่ว่าเลี้ยงยากนั้น เหตุทั้งนี้ก็เพราะน้ำนมของมารดานั้นให้โทษแก่กุมารนั้นเอง อนึ่ง กุมารจะเกิดมาในวันที่ร้าย แล้วต้องแผนซางที่ร้าย แต่ว่าเลี้ยงง่ายนั้ อาศัยน้ำนม แห่งมารดานั้นดี กุมารีได้บริโภคจึงวัฒนาการเจริญขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะน้ำนมสตรี ดีและร้ายมีอยู่ ๖ จำพวก ท่านจงทราบด้วยประการดังนี้ พระฤาษีสิทธิดาบส เธอจึงนำเอาลักษณะน้ำนมชั่ว ซึ่งกุมารบริโภค เป็นโทษ ๒ ประการ และลักษณะแห่งน้ำนมแม่ที่ดี ซึ่งกุมารดื่มแล้วมิได้เป็นโทษ ๔ ล่านอกดังนี้
ลักษณะน้ำนมในโทษแก่กุมารในหญิง ๒ จำพวก คือ
๑. หญิงมีกลิ่นตัวคาวดังน้ำล้างมือ ลูกตาแดง เนื้อขาวเหลือง นมยาน หัวนมเล็ก เสียงพูดแหบ เครือดังเสียงการ้อง ฝ่ามือและเท้ายาว ห้องตัวยาว จมูกยาว หนังริมตาหย่อน สะดือลึก ไม่พี ไม่ผอม สันทัดคน กินของมาก ลักษณะหญิงอย่างนี้ชื่อว่า หญิงยักขินี เป็นหญิงมีกามแรง ถ้าให้กุมารบริโภคน้ำนมเข้าไป มักบังเกิดโรคต่างๆ แม่นมออย่างนี้ท่านให้ยกเสียพึงเอา
๒. หญิงที่มีกลิ่นตัวดังบุรุษ ตาแดง ผิวเนื้อขาว นมดังคอน้ำเต้าริมฝีปากกลม เสียงแข็ง ดังเสียงแพะ ฝ่าเท้าใหญ่ข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่ง เจรจาปากไม่มิดกัน เดินไปมามักสะดุด ลักษณะหญิงอย่างนี้ ชื่อว่า หญิงหัศดี เป็นหญิงกามแรง ถ้าให้กุมารบริโภคน้ำนมเข้าไป ดุจดังเอายาพิษให้บริโภค แม่นมอย่างนี้ ท่านให้เลือกออกเสีย อย่าพึงเอา
ลักษณะแห่งแม่นมที่ดี ซึ่งกุมารดื่มน้ำนมมิได้เป็นโทษนั้นมีอยู่ ๔ จำพวก ดังต่อไปนี้คือ
๑ หญิงที่มีกลิ่นตัวหอมดังกล้วยไม้ ไหล่ผาย สะเอวรัด หลังราบ สัณฐานตัวดำและเล็ก แก้มใส มือและเท้าเรียว เต้านมดังอุบลพึ่งแย้ม ผิวเนื้อแดง เสียงดังเสียงสังข์ รสน้ำนมนั้นหวาน มันเจือกัน ลักษณะหญิงอย่างนี้ ท่านจัดเป็นหญิงเบญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดดีนัก
๒. หญิงที่มีกลิ่นตัวดังดอกอุบล เสียงดังเสียงแตร ไหล่ผาย ตะโพกรัด แก้มพอง นิ้วมือและนิ้วเท้าเรียวแฉล้ม เต้านมดังบัวบาน ผิวเนื้อเหลือง น้ำนมมีรสหวาน ลักษณะหญิงอย่างนี้ท่านจัดเป็นหญิงเบญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดดีนัก
๓. หญิงที่มีกลิ่นตัวไม่ปรากฎหอมหรือเหม็น เอวกลม ขนตางอน จมูกสูง เต้านมกลม หัวนมงอนดังดอกอุบลพึ่งจะแย้ม รสน้ำนมนั้นหวาน มันสักหน่อย ลักษณะหญิงอย่างนี้ ท่านว่าเป็นหญิงเบญจกัลยาณ๊ ให้เลือกเอาไว้ให้กุมาร บริโภคเถิด น้ำนมดีนัก
๔. หญิงที่มีกลิ่นตัวหอมเผ็ด เสียงดังเสียงจักจั่น ปากดังปากเอื้อน ตาดังตาทราย ผมแข็งชัน ไหล่ผาย ตะโพกผาย หน้าผากสวย ท้องดังกาบกล้วย นมพวง น้ำนมขาวดังสังข์ รสน้ำนมมันเข้มสักหน่อย เลี้ยงลูกง่าย ลักษณะหญิงจำพวกนี ท่านคัดเป็นหญิงเบญจกัลยาณี ให้เลือกเอาไว้ให้กุมารบริโภคเถิดน้ำนมดีนัก ลักษณะแม่นม ๔ จำพวกนี้ แม่นมเบญจกัลยาณ๊ ท่านจัดสรรเอาไว้ถ่ายพระมหาบุรุษราชเจ้าได้ เสวยครั้งนั้น เรียกว่า ทิพโอสถประโยธร ดุจน้ำสุรามฤต ถ้ากุมารและกุมารีผู้ใดได้บริโภค ดุจดื่มกินซึ่งโอสถ อันเป็นทิพย์ น้ำนมที่กล่าวมาทั้ง ๔ จำพวก ถึงว่ากุมารผู้นั้นจะมีโรค ก็อาจบำบัดโรคได้ เพราะน้ำนมมีคุณดังโอสถ และมิได้แสลงโรค
ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษากุมารไปเบื้องหน้า ให้พิจารณาดุน้ำนมแห่งแม่นม และน้ำนมแห่งมารดานั้นก่อน ถ้าเห็นว่านมนั้นยังเป็นมลทินอยู่ ท่านให้แต่งยาประสะน้ำนม นั้นเสียก่อน จึงจะสิ้นมลทินและโทษทั้งปวง ถ้าแพทย์จะพิจารณาดูน้ำนมดีและร้ายนั้น ให้เอาใส่ขันแล้วให้แม่นมนั้นหล่อนมองดู ถ้าสีและน้ำนมขาว ดังสีสังข์และ จมลงในขัน สัณฐานเหมือนดังลูกบัวเกาะ นมอย่างนี้ จัดเอาเป็นน้ำนมอย่างเอก ถ้าหล่อน้ำนมลง และน้ำนมนั้นกระจาย แต่ว่าขันจมลงถึงกันขันแค่ไม่กลมเข้า น้ำนมอย่างนี้ จึงเอาเป็นน้ำนมอย่างโท ถ้าพ้นจากน้ำนม ๒ ประการนี้แล้ว ถึงจะมีลักษณะประกอบไปด้วยยศ ศักดิ์ขาติตระกูลปานใดก็ดี ถ้ามีกุศลหนหลังยังติดตามบำรุงรักษา ไม่ให้เกิดโรคาพยาธิ รสน้ำนมนั้นเปรี้ยว ขม, ฝาด,จืด,จาง, และมีกลิ่นอันคาวนั้น ก็จัดเป็นน้ำนมโทษทั้งสิ้งดุจกล่าวมา นอกจากนี้ยังมีน้ำนมพิการอีก ๓ จำพวก ถ้าให้กุมารบริโภคเข้าไป ดุจให้บริโภคยาพิษ จะบังเกิดโรคต่างๆ
๓. สตรีมีโลหิต ๕ ประการ โลหิตปกติโทษ ( สตรีมีโลหิตระดูปกติโทษ) ๕ ประการคือ สัตว์ที่จะมาปฎสนธิ ในมาตุคัพโภทร ( ในท้องมารดา) ก็เพราะโลหิตระดูบริบูรณ์)
๓.๑ ลักษณะโลหิตระดู บังเกิดแต่หทัย( หัวใจ)
๓.๒ ลักษณโลหิตระดู บังเกิดแต่ดีและตับ
๓.๓ ลักษณะโลหิตระดู บังเกิดแต่เนื้อ
๓.๔ ลักษณะโลหิตระดูบังเกิดแต่เส้นเอ็น
๓.๕ ลักษณะโลหิตระดู บังเกิดแต่กระดูก
ลักษณะน้ำนมพิการ ๓ จำพวก คือ
๑. สตรีขัดระดุจำพวก ๑
๒. สตรีอยู่ไฟมิได้ และน้ำนมนั้นเป็นน้ำนมดิบ จำพวก ๑
๓. สตรีมีครรภ์อ่อนเป็นน้ำเหลือง ไหลหลั่งลงในน้ำเป็นสายโลหิต กับน้ำนมระคนกัน จำพวก ๑
ถ้าแพทย์จะพยาบาล ให้พึงพิจารณา โรคพยาธิและชาตินรลักษณ์ แห่งแม่นมนั้นก่อน ถ้าประกอบไปด้วยโทษประการหนึ่งประการใดก็ดี ให้ประกอบยา ประจะโลหิต และรุน้ำนม บำรุงธาตุ ให้โลหิตและน้ำนมนั้น บริบูรณ์ ก่อนจึงจะสิ้นโทษร้าย ถ้าน้ำนมลอยเรี่ยรายอยู่ไม่คุมกันเข้าได้ ท่านว่าเป็นเพราะโลหิตกำเริบ ให้แต่งยา ประจุโลหิตร้ายเสียก่อน โลหิตจึงจะงาม น้ำนมจึงจะบริบูรณ์
ลักษณะน้ำนมเป็นโทษ อีก ๓ จำพวก
คือมารดาอยู่ไฟมิได้ ท้องเขียวดังท้องค่าง ตั้นมารดาออกจากเรือนไฟแล้วให้กุมารดื่มน้ำนมเข้าไป ก็อาจให้เป็นโรคต่างๆ ด้วยดื่มน้ำนมเป็นโทษ ๓ ประการ ดังนี้ –
๑. น้ำนมจาง สีเขียวดังน้ำต้มหอยแมลงภู่ประการ ๑
๒. น้ำนมจาง มีรสเปรี้ยว ประการ ๑
๓. น้ำนมเป็นฟองลอย ประการ ๑
น้ำนมทั้ง ๓ประการนี้ย่อมเบียดเบียน กุมาร กุมารีทั้งหลาย ซึ่งได้บริโภคนั้นกระทำให้เกิดโรคต่างๆ บางทีกระทำให้ลงท้อง บางที่กระทำให้ท้องขึ้น บางที กระทำ ให้ตัวร้อน บางทีกระทำให้ปวดมวนในท้อง ทั้งนี้เป็นมลทินโทษแห่งน้ำนม เพราะน้ำนมดิบให้โทษเป็น ๓ ประการดังนี้
พระอาจารย์ท่านกล่าวไว้ดังนี้ อันว่าแพทย์ทั้งหลายมิได้ถือเอาซึ่งพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ อิ่มไปด้วยโลภ ด้วยหลงมี ใจอันถือทิฎฐิมานะ อันว่าแพทย์ผู้นั้น ชื่อว่ามีตา อันบอดประกอบไปด้วยโทษ ด้วยประการดังนี้
แพทย์ผู้ใดมิได้เรียนซึ่งคัมภีร์ฉันทศาสตร์ มิได้รู้จักกำเนิดแห่งซาง และสรรพคุณยาทั้งหลาย ได้แก่ ตำราซึ่งท่านเขียนไว้ ก็นำไปเที่ยวรักษา ด้วยใจโลภ จะใคร่ได้ทรัพย์แห่งท่านประการ ๑ ถือทิษฐิมานะว่า ตัวรุ้กว่า คนทั้งหลายประการหนึ่ง หลงไหลถือผิดเป็นชอบประการ ๑ มีความโกรธแก่ท่านประการ ๑ ทั้ง ๔ ประการนี้ ท่านว่าเป็นหมอโกหก อย่างนี้ในเมืองโสฬสมหานคร ท่านจับเอาตัวมาฆ่าเสียเป็นอันมาก ท่านทั้งปวงพึงรู้เถิด ท่านว่าเป็นหมอโกหก อย่างนี้ในเมือง โสฬสมหานคร ท่านจับเอาตัวมาฆ่าเสียเป็นอันมาก ท่านทั้งปวงพึงรู้เถิด
อนึ่งแพทย์มิได้รู้จักกำเนิดแห่งโรคนั้น และวางยาให้ผิดแก่โรค มีดุจพระบาลีกล่าวไว้ ดังนี้
วางยาผิดโรคครั้งหนึ่ง ดุจประหารด้วยหอก
วางยาผิดโรคสองครั้ง ดุจเผาด้วยไฟ
วางยาผิดโรคสามครั้ง ดุจต้องสายฟ้าฟาดคือฟ้าผ่า
อันว่า โรคจะกำเริบขึ้นกว่าเก่า ได้ร้อยเท่า พันเท่า อันว่าแพทย์ผู้นั้น ครั้นกระทำผิดซึ่งกาลกิริยาตายแล้ว ก็จะเอาไปปฎิสนธิในนรก
ครรภ์รักษา
สตรีทั้งปวงครรภ์ก็ตั้งขึ้น ( มีครรภ์) ได้ ๑๕ วันก็ดี หรือ ๑ เดือนก็ดี จะแสดงให้ปรากฎแก่ คนทั้งหลายว่า ตั้งครรภ์มีเส้นเอ็นสีเขียวผ่านหน้าอก หัวนมก็ดำคล้ำขึ้น และตั้งขึ้น กับมีเม็ดครอบหัวนม แพทย์พึงรู้ว่า สตรีนั้นตั้งครรภ์แล้ว ในระหว่างตั้งครรภ์ ตั้งแต่ ๑ เดือน ถึง ๑๐ เดือน มารดา มักจะมีโรคหรืออาการต่างๆ จึงมียาครรภ์รักษา ใช้รักษาและป้องกันไม่ให้มีการแท้ง หรือตกเลือดได้
ครรภ์วิปลาส
ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้ครรภ์ตกไป ( เกิดการแท้งหรืออันตรธาน) มีอยู่ ๔ ประการคือ
๑. สตรีมีครรภ์นั้น บังเกิดกามวิตกหนา ไปด้วยเตโชธาคุสมุฎฐาน ไฟราคะเผาผลาญแรงกล้าอยู่เป็นนิจ ทำให้ครรภ์นั้นตกไป ( แท้ง) หรืออันตรธานไป( เพราะธาตุไฟกำเริบ)
๒. สตรีมีครรภ์ กินของที่ไม่ควรจะกินก็กิน กินของที่เผ็ดร้อนต่างๆ หรือของที่กินแล้ว ให้มีอาการ ลงท้อง หรือยาที่ให้แสลงโรคต่างๆ กินยาขับโดยตั้งใจ ( เพราะธาตุน้ำกำเริบ)
๓. สตรีมีครรภ์มีจิตมากด้วยความโกรธแล้วทำร้ายตัวเอง หรือเป็นผู้หญิงปากร้าย ไม่รู้จักซึ่งโทษมีแก่ตน ใช้ถ้อยคำหยาบช้าด่าว่าสามีตนและผู้อื่น ถูกเขาทำโทษทุบถองโบยตี ด้วยกำลังแรงต่างๆ สตรีผู้นั้นก็เจ็บ ซึ่งครรภ์แห่งหญิงนั้นก็ตกไป
๔. สตรีมครรภ์ลูกถูกปีศาจทำโทษต่างๆ ครรภ์นั้นก็มิตั้งขึ้นได้ หรือต้องสาตราคมคุรไสยเขากระทำก็ดี ลูกที่อยู่ในครรภ์นั้นก็ตกไป
ครรภ์ปริมณฑล
ในระยะ ๑๐ เดือน ที่สตรีตั้งครรภ์ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บ เกิดขึ้นได้จัดยา ไว้สำหรับแก้ไข้ แก้บิดมูกเลือด แก้ลมวิงเวียนหน้ามืด แก้ไข้ร้อนๆหนาวๆ ระส่ำระสาย ลิ้นกระด้างคางแข็ง ยาสำหรับครรภ์ ๗-๘ เดือน กุมารไม่ดิ้น ยาให้คลอดง่าย และยาชักมดลูก เป็นต้น
ครรภ์ประสูติ
ว่าด้วยทารกคลอดจากครรภ์มารดา ด้วยอำนาจแห่งลม กัมมัชชวาตพัดกำเริบ ให้เส้นและเอ็นที่รัดตัว กุมารไว้คลาย ออกพร้อมก็ให้ศีรษะกลับลงเบื้องต่ำ ฤกษ์ยามดี แล้วก็คลอด จากครรภ์มารดา เรียกว่า ตกฟาก และในระยะปฐมวัย ตั้งแต่ทารกรู้ชันคอ จนถึงระยะรู้ย่าง รู้เดิน ก็จะมีลักษณะสำรอก ๗ ประการ และระยะ ดังกล่าวก็จะมีโรคเกิดกับทารกอยู่ก่อน แล้ว มีโรคอื่นจรมาแทรกมาทับ เรียกโรคทับ ๘ ประการ
ดวงซาง
เกิดซาง ๙ จำพวก เกิดขึ้นจรในกินไส้พุง ตับ ปอด และหัวใจ
๑. ซางฝ้าย เกิดในลิ้น ในปาก เป็นทรางจรมาแทรกทรางน้ำเจ้าเรือน
ลักษณะ เป็นฝ้าขาวดาดไปเป็นเหมือนวงฝ้ายมีใยดุจสำลี ขึ้นที่เพดาน กระพุ้งแก้ม ไรฟัน และที่ลิ้น
อาการ ให้ปากร้อน,ปากแห้ง,น้ำลายแห้ง,หุบปากไม่ลง,อ้าปากร้อง,อาหารไม่ได้ อาเจียนเป็นกำลัง, ให้ท้องเดิน, กลิ่นเหม็นดังไข่เน่า ทรางฝ้ายทำโทษ กำหนด ๖ เดือน รวมกับทรางน้ำเจ้าเรือน ถึงอายุ ๒ ขวบ ๑๕ วัน
๒. ซางขุม กลางลิ้นนั้นขึ้นซีดขาว
๓. ซางข้าวเปลือก เกิดในลิ้น ในปาก ดังลิ้นวัว
๔. ซางข้าว ดวงดังนี้
๕. ซางควาย ดวงดังนี้
๖. ซางม้า ดวงดังนี้ ครั้นถึง ๒ วันติดกันเข้ามา มีสีดำ เขียวร้ายนัก
๗. ซางช้าง ดวงดังนี้ ถ้าหวำและกลางแดง มักให้ลงท้อง
๘. ซางโจร ดวงดังนี้ มักขึ้นในไส้พุง และหัวตับ กระดูกสันหลัง ครั้นแก่นานหนัก ขึ้นมาดังดอกบุก
๙. ซางไฟ ถ้าขึ้นกลางลิ้นนั้น ลิ้นดำและริมแดง ร้ายนัก
ลักษณะซาง
๑. ซางโจร ขึ้นยอดดำเชิงแดง ขึ้นที่ต้นกรามทั้งสองข้าง ให้ลงท้องแต่ในเขตอายุ ๑ เดือน ไปจนถึง ๑๐ เดือน ให้ลงท้องเป็นดังส่าเหล้า ถ้าขึ้นตับ ถ่ายอุจจาระดำ ออกมา ขึ้นในไส้อ่อน ( ลำไส้เล็ก) ให้ถ่ายอุจจาระสีเขียวดังใบไม้ ถ้าขึ้นในให้หลังโกง และขัดปัสสาวะ มักให้เป็นนิ่ว ( นิ่วซาง) ให้ ปัสสาวะขาวดุจน้ำปูน
๒. ซางนิล ซางนี้มาเกิดในกระหม่อม แล้วลงมาเกิดขึ้นในเพดานยอด ๑ หรือ ๓ ยอด ๔ ยอด ครั้นไได้ ๒ เดือน ๓ เดือน ก็กระจายออกมาขึ้นเหงือกและกรามทั้ง ๒ ข้าง ให้เจ็บปวด มีพิษทั่วไป
( จากตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเวชกรรม เล่ม ๑ โดยกองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณุสุข เรื่อง โรคมารดาและเด็ก หน้า ๘๘-๙๓ )
————————————————————————————————————————————————--
ทรางประจำวัน( ในคัมภีร์ ปฐมจินดา)
คือมีทรางเจ้าเรือน,ทรางจร,หละประจำ,ละอองประจำ และลมประจำทารก ที่เกิดมาในวันทั้ง ๗ ขอกล่าวแต่ชื่อรวมไว้เพื่อสะดวกแก่การท่องจำ
เกิดวัน ทรางเจ้าเรือน ทรางจร หละประจำ ละอองประจำ ลมประจำ
อาทิตย์ ทรางไฟ ทรางกราย หละอุทัยกาฬ ละอองเปลวไฟฟ้า ลมประจำ
จันทร์ ทรางน้ำ ทรางฝ้าย หละแสงพระจันทร์ ละอองแก้ววิเชียร ลมประจำ
อังคาร ทรางแดง ทรางระแนะ หละอุทัยกาฬ ละอองแก้วมรกฎ ลมอุทรวาต
พุธ ทรางสะกอ ทรางกะตัง หละนิลเพลิง ละอองแสงเพลิง ลมสุนทรวาต
พฤหัสบดี ทรางโค ทรางข้าวเปลือก หละนิลกาฬ ละอองมหาเมฆ ลมหัสคินี
ศุกร์ ทรางช้าง ทรางกระดูก หละแสงพระจันทร์ ละอองกาฬสิงคลี ลมอริศ
เสาร์ ทรางโจร(ขโมย) ทรางนางริ้น หละมหานิลกาฬ ละอองเปลวไฟฟ้า ลมกุมภัณฑ์ยักษ์
ลักษณะอาการทราง
๑. ทรางไฟ เป็นทรางเจ้าเรือน ประจำทารกที่เกิดวันอาทิตย์
ลักษณะ เป็นเม็ดที่ยอด มีแม่ทราง ๔ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด รวมเป็น ๔๔ ยอด ๆ นั้นแดงดังผล มะไฟ ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ทำให้ตัวร้อน ตกมูกเลือด และหนอง อุจจาระเป็นน้ำส่าเหล้า น้ำคาวปลา,น้ำล้างเนื้อ,น้ำไข่เน่า, ทรางไฟ ทำโทษถึงอายุ ๑ ปี กับ ๑๑ เดือน แต่แรกล้มเจ็บมากำหนด ๑๑วันจึง ถอย ถ้าไม่ถอย อาจจะเป็นอันตราย เกิดขึ้นเพื่อกำเดา
ทรางกราย เป็นทรางจรมาแทรกทรางไฟเจ้าเรือน
ลักษณะ ผุดขึ้นมาเป็นเม็ดคล้ายผด มีแม่ทราง ๔ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้บิดตัวนอนสะดุ้ง,ตัวร้อน,ท้องเดิน,อาเจียน กระหายน้ำ กินอาหารไม่ได้ ทรางกราย โทษกำหนด ๗ เดือน รวมกับทรางไฟเจ้าเรือน ถึงอายุ ๒ ขวบ ๖ เดือนกับ ๖ วัน
หละอุทัยกาฬ ประจำทรางไฟเจ้าเรือน
ลักษณะ ขึ้นบริเวณ ปาก,ลิ้น และที่ต่างๆ
อาการ ให้ตัวร้อน ชักมือกำเท้างอ ขัดปัสสาวะ มักกระทุ่มเท้า ร้องให้
ละอองเปลวไฟฟ้าหรือละอองทับทิม ประจำทรางไฟเจ้าเรือน
ลักษณะ เมื่อตั้งขึ้นเป็นเม็ดยอดแดงดังน้ำชาดหรือดังยอดต้นทับทิมเกิดแทรกในไฟ หรือเกิดขึ้นเมื่อหมดกำหนดทรางไปแล้ว
อาการ ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง ตาแข็ง ตัวร้อนจัด ชักมือกำเท้างอ
๒. ทรางน้ำ เป็นทรางเจ้าเรือน ประจำทารกที่เกิดวันจันทร์
ลักษณะ มีแม่ทราง ๑๙ ยอด แต่ละยอดโตเท่าใบพุทรา ยอดสีแดง ดังผลผักปลังห่าม ขึ้นที่ต้นแขน ,ขา,หน้าขา, กลางหลัง และแก้มทั้งสอง
อาการ เมื่อเม็ดยอดแตกเป็นน้ำเปื่อยไป รอบตัวแล้วหลบใน ทำให้หัวร้อน ,ตัวร้อน,เจ็บตาม ท้อง ทรางน้ำทำโทษถึงอายุ ๑ ขวบ ๖ เดือน แต่แรกล้มเจ็บ มากำหนด ๑๒ วัน จึงถอย เจ็บตามท้อง ทรางน้ำ ทำโทษถึงอายุ ๑ ขวบ ๖ เดือน แต่แรกล้มเจ็บ มากำหนด ๑๒ วัน จึงถอย ถ้าไม่ถอย ไข้นั้นหลักขึ้นเพื่ออาโป
ทรางฝ้าย เป็นทรางจรมาแทรกทรางน้ำเจ้าเรือน
ลักษณะ เป็นฝ้าขาวดาดไปเป็นเหมือนวงฝ้ายมีใยดุจสำลี ขึ้นที่เพดาน กระพุ้งแก้ม ไรฟัน และที่ลิ้น
อาการ ให้ปากร้อน, ปากแห้ง, น้ำลายแห้ง,หุบปากไม่ลง, อ้าปากร้อง, อาหารไม่ได้อาเจียนเป็นกำลัง, ให้ท้องเดิน, กลิ่นเหม็นดังไข่เน่า ทรางฝ้ายทำโทษ กำหนด ๖ เดือน รวมกับทรางน้ำ เจ้าเรือน ถึงอายุ ๒ ขวบ ๑๕ วัน
หละแสงพระจันทร์ ประจำทรางน้ำเจ้าเรือน
ลักษณะ เกิดขึ้นเป็นสีเหลืองเท่าเม็ดข้าวโพด ขึ้นที่ต้นขากรรไกร ขวาและซ้าย
อาการ ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง ตาแข็ง ร้องให้ไม่มีน้ำตา ท้องเดินหน้าผากตึง และตัวร้อน
๓. ทรางแดง เป็นทรางเจ้าเรือนประจำทารกที่เกิดวันอังคาร
ลักษณะ เป็นแม่ทราง ๖ ยอด มีบริวาร ๖ ยอด มีบริวาร ๗๒ ยอด รวมเป็น ๗๘ ยอดขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้ท้องเดิน อาเจียน กระหายน้ำ ไอคอแห้ง เซื่องซึม ผอมเหลือง ตกมูกเลือด อาหารไม่ได้ ทรางแดงมี ๒ อย่าง เรียกว่าตัวผู้ตัวเมีย ตัวผู้รักษายาก ทรางแดง ทำโทษถึงอายุ ๓ ขวบ ๖ เดือน แต่แรกล้มเจ็บ มา กำหนด ๑๓ วัน จึงถอย อาจจะเป็น อันตรายเกิดเพื่อ โลหิต
ทรางระแหนะ เป็นทรางจร มาแทรกทรางแดง เจ้าเรือน
ลักษณะ มีแม่ทราง ๓ ยอด มีบริวาร ๓๐ ยอด รวมเป็น ๓๓ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้ท้องเดิน เป็นมูกเลือด เป็นเสมหะเป็นน้ำล้างเนื้อ ซูบผอม เบื่ออาหาร ปวดมวนท้อง ทรางระแหนะ ทำโทษ ๑ ขวบ ๖ เดือน รวมกับทรางแดงเจ้าเรือน ถึงอายุ ๕ ขวบ ๘ วัน
หละอุทัยกาฬ ประจำทรางแดงเจ้าเรือน
ลักษณะ ขึ้นบริเวณ ปาก,ลิ้น และที่ต่างๆ
อาการ ให้ตัวร้อน ชักมือกำเท้ากำ ขัดปัสสาวะ มักกระทุ่มเท้า ร้องให้
ละอองแก้มรกฎ ประจำทรางแดง เจ้าเรือน
ลักษณะ เมื่อบังเกิดขึ้นนั้นร้ายนัก
อาการ ทำให้หน้าเขียว หน้าดำ ชักมือ เท้ากำ ปากอ้ามิออก ให้ลิ้นกระด้าง คางแข็ง
ลมอุทรวาต ประจำทรางแดงเจ้าเรือน
ลักษณะ ลักษณะและอาการไม่ปรากฏ คงมีแต่ชื่อเฉยๆ
๔. ทรางสะกอ เป็นทรางเจ้าเรือน ประจำทารกที่เกิดวันพุธ
ลักษณะ มีแม่ทราง ๔ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด รวมเป็น ๔๔ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้ท้องเดิน อาเจียน กระหายน้ำ เป็นไข้ ตัวร้อน เซื่องซึม กระสับกระส่าย ทรางสะกอ ทำโทษ ถึงอายุ ๑ ขวบ ๔ เดือน แต่แรกกลับเจ็บมากำหนด ๑๔ วัน จึงถอย ถ้าไม่ถอย ไข้นั้นหนัก เกิดขึ้นเพื่ออาโป
ทรางกระตัง เป็นทรางจรมาแทรกทรางสะกอ เจ้าเรือน
ลักษณะ มีแม่ทราง ๓ ยอด มีบริวาร ๓๐ ยอด รวมเป็น ๓๓ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้ขัดเบา จุกเสียด อาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ หายใจขัด คอแห้ง ร้องไม่ใคร่ออก ทรางกระตัง ทำโทษกำหนด ๑ ขวบ ๓ เดือน รวมกับทรางสะกอ เจ้าเรือนถึงอายุ ๒ ขวบ ๗ เดือน กับ ๑๕ วัน
หละเนรกันฐีหรือนิลเพลิง ประจำทรางสะกอเจ้าเรือน
ลักษณะ แรกจะเกิดเห็นเขียวดังใบไม้สด แล้วเป็นสายโลหิตผ่านไปอยู่ใน ๔ วัน
อาการ ริมฝีปากแห้ง คอแห้ง ท้องเดิน ท้องขึ้น
ละอองแสงเพลิง ประจำทรางสะกอเจ้าเรือน
ลัษณะ เป็นกระขาว ข้างกระพุ้งแก้ม แล้วกลายเป็นสีเขียวคล้ำ
อาการ ให้เซื่องซึม ท้องเดิน อุจจาระเขียวดังใบไม้
ลมสุนทรวาต ประจำทรางสะกอเจ้าเรือน
ลักษณะ เกิดขึ้นที่สะดือ ท้องน้อย
อาการ ให้เจ็บท้อง ท้องขึ้น ท้องเดิน มักให้นอนหลับไป ชักมือเท้าหงิกงอ หน้าเขียว
๕. ทรางโค เป็นทรางเจ้าเรือนประจำทารกที่เกิดวันพฤหัสบดี
ลัษณะ มีแม่ทราง ๔ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด รวมเป็น ๔๔ ยอด ทรางจะขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้ตัวร้อน อาเจียน กระหายน้ำ อุจจาระตกเป็นมูกเลือด ทรางโคทำโทษ ถึงอายุ ๒ขวบ ๕ เดือน แต่แรกล้มเจ็บ มา ๑๕ วัน จึงถอย ถ้าไม่ถอย อาจจะเป็นอันตรายเกิดขึ้นเพื่อกำเดา
ทรางข้าวเปลือก เป็นทรางจร มาแทรก ทรางโคเจ้าเรือน
ลักษณะ มีแม่ทราง ๕ ยอด มีบริวาร ๕๐ ยอด รวมเป็น ๕๕ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ ให้ผื่นคันตามตัวดังละอองข้าวเปลือก บางที่ผุดขึ้นดังปานแดง ปานดำ บางทีเป็นรอยดังถูกตีดัวยนิ้วมือสีดำ แดง เขียว
อาการ ให้ปากร้อน ท้องขึ้น อาเจียน อาหารไม่ได้ คันตามที่ผุดขึ้น บางทีชัก ลิ้นกระด้างคางแข็ง ทรางข้าวเปลือกทำโทษ กำหนด ๑ ขวบ ๖ เดือน รวมกับทรางโค เจ้าเรือนถึงอายุ ๓ ขวบ ๑๑ เดือน กับ ๑๙ วัน
หละนิลกาฬ ประจำทรางโค เจ้าเรือน
ลักษณะ เมื่อจะบังเกิด ขึ้นให้ตายไปครึ่งตัว
อาการ ร้องไม่ออก เป็นอยู่ ๒-๓ วัน จะกลายเป็น มหานิลกาฬ อาการร้ายนัก เขียวไปทั้งตัว
ละอองมหาเมฆ ประจำทรางโคเจ้าเรือน
ลักษณะ บังเกิดขึ้นดังดอกตะแบกช้ำ มีพิษร้ายมาก
อาการ จับให้ชักมือกำหงิกงอ อุจจาระ ปัสสาวะไม่ออก
ลมหัสคินี ประจำทรางโคเจ้าเรือน
ลักษณะอาการ ให้ชักมือกำเท้ากำ ท้องขึ้น หลังแข็ง เหงื่อตก เป็นแต่เวลาเช้า ถึงเที่ยงตาย
๖ ทรางช้าง เป็นทรางเจ้าเรือนประจำทารก ที่เกิดวันศุกร์
ลักษณะ มีแม่ทราง ๕ ยอด มีบริวาร ๘๕ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้เซื่องซึม อาเจียน กระหายน้ำ ไอแห้งคอ เจ็บคอ อาหารไม่ได้ มีผื่นขึ้น รอบคอ เปื่อยเน่า คันทั้งตัว ทรางช้าง ทำโทษถึงอายุ ๒ ขวบ ๙ เดือน แต่แรกล้มเจ็บ มา กำหนด ๑๖ วัน จึงถอย ถ้าไม่ถอย อาจเป็นอันตราย เกิดขึ้นเพื่อวาโย
ทรางกระดูก เป็นทรางจรมาแทรก ทรางช้างเจ้าเรือน
ลักษณะ เป็นยอดขึ้นราว ๒ วัน แล้วหลบเข้าท้อง และกลับขึ้นโคน ลิ้นยอดแข็ง ดังตาปลา
อาการ ให้ท้องเดิน มือเท้าเย็น ทรางกระดูกทำโทษ ๗ เดือน รวมกับทรางช้าง เจ้าเรือนถึงอายุ ๓ ขวบ ๔ เดือน กับ ๒๑ วัน
หละแสงพระจันทร์ ประจำทรางช้างเจ้าเรือน
ลักษณะ เกิดขึ้นเป็นสีเหลืองเท่าเมล็ดข้าวโพด ขึ้นที่ต้นขากรรไกรขวาและซ้าย
อาการ ให้ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ตาแข็ง ร้องให้ไม่มีน้ำตา ท้องเดิน หน้าผาก ตึงและตัวร้อน
ลมอิลิต ประจำทรางช้างเจ้าเรือน
ลักษณะและอาการ เมื่อบังเกิดขึ้น ทำให้คอเขียว ชักมือกำเท้ากำ บางทีชักข้างขวา บางทีชักข้างซ้าย ลิ้นกระด้างคางแข็ง ร้องไม่ออก น้ำลายฟูมปาก ตากลับกลอก ยักคิ้วหลิ่วตา เสมหะประทะคอดังครอกๆ เมื่อตายแล้ว ตัวเหลือง ดังทาขมิ้นสด ลมนี้เกิดเพื่อละอองพระบาท คล้ายโรคลมกาฬสิงคลี
๗. ทรางโจร (ทรางขโมย) เป็นทรางเจ้าเรือนประจำทารก ที่เกิดวันเสาร์
ลักษณะ มีแม่ทราง ๙ ยอด มีบริวาร ๕๘ ยอด รวมเป็น ๖๗ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ
อาการ ให้อาเจียน กระหายน้ำ ท้องเดิน ดุจส่าเหล้า น้ำคาวปลา น้ำล้างเนื้อ น้ำไข่เน่า ตกเป็นมูก เลือด หนอง สีเขียวดังใบไม้ ทรางโจร ทำโทษถึงอายุ ๓ ขวบ ๘ เดือน แต่แรกล้มเจ็บ มากำหนด ๑๗ วัน จึงถอย ถ้าไม่ถอย อาจจะเป็นอันตราย เกิดขึ้นเพื่อวาโย
ทรางนางริ้น เป็นทรางจร มาแทรกทรางโจรเจ้าเรือน
ลักษณะ มีแม่ทราง ๔ ยอด มีบริวาร ๕๖ ยอด รวมเป็น ๖๐ ยอด ขึ้นในที่ต่างๆ บางทีขึ้นแทรกทรางเจ้าเรือน บางทีขึ้นเมื่อหมดทรางเจ้าเรือนแล้ว
อาการ ตาแดงดังโลหิต ลิ้นขาว ไอ คอแห้ง กระหายน้ำ ท้องเดินเป็นมูก เป็นโลหิตสดหรือเน่า ตับย้อย เป็นไข้จับบางเวลา ปัสสาวะขัด บางทีออกเป็นน้ำขาว หรือดินสอพอง เป็นหนองหยดย้อย ทรางนางริ้น ทำโทษ กำหนด ๑ ขวบ ๗ เดือน รวมกับ ทรางโจร เจ้าเรือน ถึงอายุ ๕ ขวบ ๔ เดือน กับ ๑๐ วัน
หละมหานิลกาฬ ประจำทรางโจรเจ้าเรือน
ลักษณะ ขึ้นยอดดำ ดังยอดนิล ขึ้นอยู่ ๑ วัน จึงแปรเป็นแสงเพลิง ขึ้นอยู่ ๒ วัน ย้ายไปขึ้นสลักเพชร์ ทั้งคู่
อาการ ตายไปครึ่งตัว ร้องมิออก
ละอองเปลวไฟฟ้า หรือละอองทับ ประจำทรางโจรเจ้าเรือน
ลักษณะ เมื่อตั้งขึ้นเป็นเม็ดยอดแดง ดังน้ำชาด หรือดังยอดต้นทับทิม เกิดแทรกใน ทรางไฟ หรือเกิดขึ้นเมื่อกำหนดทรางไปแล้ว
อาการ ให้ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ตาแข็ง ตัวร้อนจัด ชักมือกำ เท้างอ
ลมกุมภัณฑ์ยักษ์ และลมบาทยักษ์ ประจำทรางโจรเจ้าเรือน
ลักษณะ และอาการ ให้จับตาช้อนสูง หน้าเขียว ชักมือกำ เท้างอ หลังแอ่น กัดฟัน ลมนี้เกิดสบทบกับอาการอื่น ที่เป็นพิษอยุ่แล้ว เกิดขึ้นเพราะถูกบาทเสี้ยนหนาม เป็นบาดแผล เข้าที่ใดๆย่อมเป็นไข้พิฆาตให้เกิดลมกุมภัฑ์ยักษ์ลมบาทยักษ์ลมจำปราบที่กล่าวมานี้
กำหนดเวลาทรางเจ้าเรือน ทำโทษ และเหตุที่เกิด
วัน ๑ ทรางไฟ เริ่มไข้ถึง ๑๑ วัน จึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่อกำเดา
วัน ๒ ทรางน้ำ เริ่มไขถึง ๑๒ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่ออาโปธาตุ
วัน ๓ ทรางแดง เริ่มไข้ถึง ๑๓ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่อโลหิต
วัน ๔ ทรางสะกอ เริ่มไข้ถึง ๑๔ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่ออาโปธาตุ
วัน ๕ ทรางโค เริ่มไข้ถึง ๑๕ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่อกำเดา
วัน ๖ ทรางช้าง เริ่มไข้ถึง ๑๖ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่อลม
วัน ๗ ทรางโจร เริ่มไข้ถึง ๑๗ วันจึงถอย ถ้าไม่ถอยอาจจะอันตราย เกิดขึ้นเพื่อลม
( จากหนังสือ คู่มือการศึกษาวิชาเวชกรรม พ.ศ.๒๕๒๒ รวบรวมโดย คณะกรรมการ และอาจารย์ สมาคม รร.แพทย์แผนไทยโบราณในประเทศไทย สำนักวัดพระเชตุพนๆ(วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพๆ หน้า ๕๐-๕๖)
ยารักษาโรคทราง
๑. ยาแสงหมึก ( หมึกหอม จันทนมด- เทศ / ดอก-ลูกจันทน์ วาน พลู / ใบพิมเสน-กระเพราะ-สันพร้าหอม/ ดีงูเหลือม (๔) / ชะมด เสน(๑)
ส่วนประกอบ หมึกหอม จันทน์ชะมด จันทน์เทศ / ดอกจันทน์ ลูกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู / ใบพิมเสน ใบกะเพรา ใบสันพร้าหอม ดีงูเหลือม ( หนักสิ่งละ ๔ ส่วน) / ชะมด พิมเสน( หนักสิ่งละ ๑ ส่วน)
วิธีทำ บดเป็นผง ทำเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒ กรัม
สรรพคุณ แก้ตัวร้อน ละลายน้ำดอกไม้เทศ
แก้ท้องขึ้น ปวดท้อง ละลายน้ำใบกะเพราต้ม
แก้ไอ ขับเสมหะ ละลายน้ำลูกมะแว้งเครือ หรือลูกมะแว้งต้น กวาดคอ
แก้ปากเป็นแผล แก้ละออง ละลายน้ำลูกเบญกานี ฝนทาปาก
ขนาดรับประทาน ใช้กวาดคอ วันละ ๑ ครั้ง หลังจากนั้น รับประทาน ทุก ๓ ชม.
เด็ก อายุ ๑-๖ เดือน ครั้งละ ๒ เม็ด
เด็ก อายุ ๗-๑๒ เดือน ครั้งละ ๓ เม็ด
๒. ยาประสะเปราะใหญ่ เปราะหอม( ๒๐)/ จันทน์แดง-เทศ/ ลูก-ดอกจันทน์ วาน พลู / โกฐ ๕ เทียน ๕ เกสร ๕-ขาดมะลิ / (สิ่งละ๑)
ส่วนประกอบ เปราะหอม 20 ส่วน/ จันทน์แดง จันทน์เทศ / ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู / โกฐหัวบัว โกฐเขมา โกฐสอ โกฐจุฬาลัมพา โกฐเชียง / เทียนดำ เทียนแดง เที่ยนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน / ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง/หนักสิ่งละ๑ส่วน
วิธีทำ บดเป็นผง
สรรพคุณ ถอนพิษไข้ตารทราง สำหรับเด็ก ละลายน้ำดอกไม้เทศ หรือน้ำสุก รับประทาน หรือผสมน้ำสุราสุมกระหม่อม
ขนาดรับประทาน รับประทานทุก๓ชม.ครั้งละ ๑/๒ – ๑ ช้อนกาแฟ
(ชื่อยาและสรรพคุณ จาก :- ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเวชกรรม เล่ม ๒ โดยกองการประกอบศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหน้า ๑๔๓-๑๔๔ )
————————————————————————————————————————————————--
คำศัพท์บางคำที่ควรรู้
สำรอก คำนี้แสดงอาการที่เด็กขย้อมเอาน้ำนม หรืออาหารที่กินเข้าไปแล้ว กลับออกมาอีก อาการนี้ ถ้าพิจารณาดูก็เป็นอาการที่เกิดแก่เด็ก ด้วยเหตุธรรมดา สามัญอย่างหนึ่ง คือกระเพาะอาหารของเด็ก ถ้ายิ่งเป็นเด็กอ่อน กระเพาะอาหาร ก็ยิ่งตึง และมีความยืดหยุ่น มาก ยังไม่เคยบรรจุอาหารได้มากเท่าผู้ใหญ่ ประกอบกับ การเลี้ยงดูเด็ก เช่นการให้นม ให้อาหารเด็ก คนโดยมากให้ไม่มีปริมาณ ไม่เป็นกำหนดเวลา เมื่อเด็กกินเข้าไปมาก หรือบ่อย กระเพาะอาหารของเด็กยังไม่ครากพอ ที่จะรับ อาหารได้มาก ก็บีบหรือหดรัดตัว ขย้อมเอาน้ำนม และอาหาร ที่กินเข้าไปมาก นั้นออกเป็นอาการสำรอก
หรือแม้ให้กินแต่น้อย แต่พอดีเป็นเวลากำหนด เด็กก็ อาจสำรอกได้ด้วย ความยืดหยุ่นของกระเพาะอาหาร ด้วย การกระเทือน การเรอ การดิ้น และการร้องของเด็กเป็นธรรมดา
การให้นมและอาหาร เด็กไม่เป็นกำหนด ให้กินเร็วๆ บางทีทำให้เด็กสำรอก และสะอึกบ่อยๆ เคยตัว
หรือบางทีเกิดการบูดการเสียขึ้น ในท้องทำให้ท้องเสีย ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ก็สำรอกมากถึงขนาดอาเจียน หรืออ้วก กินอะไรก็อ้วก กลายเป็น โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ บางทีอุจจาระร่วง คือ ทั้งลง ทั้งราก กินไม่ได้ ท้องก็เดิน เด็กก็ผอมลง เป็นซาง
ซาง,ตานซาง, - เนื่องจากเด็กกินนมและอาหาร แล้วเกิดการบูดเน่า เสียขึ้น กินอะไรก็อ้วก กลายเป็นโรคกระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบ เด็กกินไม่ได้ ท้องเดิน และผอมลง
- หรืออาจเกิดเป็นเม็ด เป็นฝ้า เป็นแผล เป็นเปื่อย ก็เรียกว่า เป็นซาง บางทีเรียกตานซาง เรียกหละ
- การให้เด็ก กินอาหารสกปรก ติดเชื้อโรค บางทีเป็นบิด เป็นมูก เป็นเลือด หรือมูกเลือด บางทีก็เรียกตานซาง เรียกท้องเดิน
- บางทีท้องอักเสบ เป็นไข้เพราะพิษเชื้อโรค หรือพิษอาหาร หรืออุจจาระเสีย ก็เรียกว่าซาง หรือไข้ซาง
- เด็กบางคนกินอาหารสกปรก ติดไข่ หรือตัวพยาธิ ไส้เดือนเข้าไป ไส้เดือนเกิดเป็นตัวขึ้นในท้อง เด็กกินอาหารเท่าใดไม่เจริญ คล้ายกับมีผี มีปอบ คอยขโมยกินอาหารในท้องเด็กอยู่ ก็เรียกตานขโมย หรือ ซางขโมย
- เด็กผอมลง ตะกละและอยากกินของแปลกๆ เพราะความหิว และธาตุพิการ ประสาทพิการ ท้องป่อง หรือพุงโร ก้นปอด แขนขาลีบ ไม่มีแรง ผิวพรรณหม่นหมอง จิตใจเศร้าซึม หน้าตาจ๋อย เสียงเบา เหล่านี้เป็นตานขโมย ซางขโมย
- เด็กที่เจ็บไข้ด้วยเหตุเหล่านี้ บางทีหรือนานๆ ผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด นัยน์ตาเป็นเกล็ดกะดี่ ดูอะไรไม่เห็น ธาตุขาดอาหาร หรือวิตามิน ก็ยังคงเรียก กันว่าเป็นซาง
- บางทีมีโรคอื่นเข้าซ้ำ เข้าแทรก เช้าเติม เป็นฝีในท้อง เป็นหวัด ก็ว่าเป็นซาง เป็นตานซาง
- บางทีติดเชื้อหนองฝี เกิดเป็นเม็ด เป็นฝีตามร่างกายตาม หัว ก็ว่าเป็น ฝีตาน, ฝีซาง
- หรือต่อมน้ำเหลือง ตามร่างกาย หรือที่คอบวม หรือต่อมทอนซิลอักเสบ ก็ว่าเป็นซาง
- เด็กที่ท้องเสีย เพราะกินนม กินกล้วย กินข้าว หรือกินอาหารอื่นๆ มากเกินไป หรือไม่เป็นเวลา เมื่อท้องเสีย เกิดเป็นพิษ เป็นไข้ ตีนกำ มือกำ กะตุก ชัก หอบ บางทีว่าเด็กต้องผีรก บางทีเรียกลมซาง บางทีก็เรียกปักษี เรียกสะพั้นปักษี บางทีเรียก สะพั้น หรือซางชัก
- บางทีเด็กเป็นหวัด หรือหวัดลงปอด ตัวร้อนเป็นไข้ต่างๆ ชัก ก็ว่าเป็นสะพั้นบ้าง ซางชักบ้าง
หละ, ซางหละ - เม็ดที่ขึ้นในปากในคอ บางทีเรียกหละ ซางหละ
- บางทีท้องขึ้น หรือชัก ก็เรียก ลมหละ ลมซาง
ละออง - อาการเป็นฝ้าที่ลิ้นที่คอ และในปาก เรียกละออง บางที่เรียกละอองพระบาท
( จากอายุรเวทศึกษา โดย ขุนนิทเทศสุขกิจ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ เรื่องสรรพยาวิจารณ์ เล่มสอง หน้า ๑๐-๑